ศิลปะ … คืออะไร. .. ข้อสรุปที่แท้จริงของคำตอบที่ว่า “ ศิลปะ คืออะไร ” แต่ละคนก็ให้ความหมายที่แตกต่างกันไปสุดแท้แต่มุมมองและแนวคิดของแต่ละคน หากจะนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ดูเหมือนว่าจะต้องคิดเกี่ยวโยงย้อนอ้างอิงไปถึงปรัชญาเมธีเพลโตทั้งสิ้น เขาบอกไว้ว่าศิลปะคือการเลียนแบบ ความมีส่วนร่วม ความเหมือน ความคล้ายคลึง เป็นการค้นหาจินตภาพของความงามให้ปรากฏออกมา นักปรัชญาบางท่านอาจจะบอกว่าศิลปะคือการแสดงออกถึงความศรัทธาในลัทธิความเชื่อ บางคนอาจจะให้นิยามว่าเป็นการแสดงออกมาจากสภาวะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นรูปทรง หรือไม่ก็บอกว่าศิลปะขาดความงามไม่ได้ เพราะฉะนั้นศิลปะก็คือความงาม บางคนอาจจะสรุปว่าศิลปะคือภาษาชนิดหนึ่งที่มนุษย์ใช้แสดงออกทางความคิด สื่อสารถึงกันและกัน หากจะอ้างอิงถึงตำราหลายๆเล่มที่ผู้รู้หลายๆท่านเขียนไว้ ต่างก็มีคำอธิบายความหมายของคำว่า “ ศิลปะคืออะไร ” ไว้มากมาย ดูเหมือนกับว่ามันเป็นทั้งเรื่องง่ายและเรื่องยากในเวลาเดียวกัน ที่จะให้คำตอบหรือนิยามในความหมายที่ชัดเจนอย่างแท้จริง คงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควรหากจะหาข้อสรุปในเหตุผลที่จะมาอธิบายให้ได้คำตอบที่ชัดเจนเหมือนกับโจทย์ของคณิตศาสตร์หรือหลักการมีเหตุมีผลแบบวิทยาศาสตร์ เพราะว่าศิลปะเป็นเรื่องของความคิดและความรู้สึก เป็นสภาวะของพุทธิปัญญา ดังนั้นสำหรับศิลปะแล้ว คำตอบแบบหนึ่งบวกหนึ่งได้ผลลัพธ์เท่ากับสองนั้นอาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกันหนึ่งบวกหนึ่งอาจจะได้คำตอบเท่ากับสามหรือเท่ากับยี่สิบก็อาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ในเวลาเดียวกัน ศิลปะเป็นศาสตร์ที่มีเหตุผล และมีความหมายอยู่ในตัวของตัวเอง ย้อนกลับไปดูความหมายของคำคำนี้ในพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 อธิบายไว้ว่า... “ ศิลปะ เป็นภาษาสันสกฤต (ภาษาบาลีว่า สิปฺป) หมายถึงฝีมือ, ฝีมือทางช่าง ,การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นได้อย่างงดงามน่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจ... ” “ โอ้โลม ” Acrylic on paper 20 x 29 cm ( 2535 ) โดย ฉัตรชัย ศิริพันธุ์ เวลาผ่านมาจนถึงปี 2530 พจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบันฑิตยสถาน ได ้ให้คำนิยามเพิ่มเติมแก้ไขไปจากปี 2493ว่า “ ..ศิลปะคือผลแห่งพลังทางความคิดสร้างสรรค์ที่แสดงออกในรูปลักษณ์ต่างๆกัน ให้ปรากฏซึ่ง สุนทรียภาพ ความประทับใจความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี จารีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธิศาสนา.. ” คนเรานั้นมีความแตกต่างจากสัตว์ตรงที่ คนเรามีสมองที่รู้จักคิด รู้จักการวางแผนและการพัฒนา มนุษย์มีพัฒนาการและวิวัฒนาการทางจิต รู้จักการแก้ปัญหา มีความคาดเดา รู้จักหล่อหลอมความคิด มีความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมโยงสัมพันธ์ และก่อให้เกิดความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ การสร้างสรรค์เป็นผลงานที่เกิดจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกับการแสดงออกทางจิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์ การเข้าใจ เข้า ถึงศิลปะได้เพียงไหนนั้นขึ้นอยู่กับรากฐานภูมิหลัง ของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงอยู่ เป็นส่วนสำคัญ ในการสร้าง แรงบันดาลใจ ให้กับศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทั้งสิ้น มนุษย์คือผู้สร้างและเสพศิลปะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวสร้างเสริมความรู้สึกสำนึกทางสุนทรียะ หรือการรับรู้คุณค่าในศิลปะ จากความซาบซึ้งที่มีต่อความงาม ก่อเกิดจริยธรรมในจิตใจของคน และในที่สุดก็ส่งผลไปสู่สังคมที่สงบและสันติ หากจะบอกว่า ศิลปะคือความดี ก็คงจะไม่ผิดหรือแปลกแยกทางความคิดแต่อย่างใด ภาพ “ The Virgin of the Rocks”โดย Leonardo da Vinci จากหนังสือ Leonardo da Vinci C.H.Monk “ Unititled, 1993 ” Mixed Media on Canvas, wood, Polyester Resin ขนาด 26” x 34” โดย อาจารย์กมล ทัศนชาลี (ศิลปินแห่งชาติ) ตามบททฤษฎีได้สั่งสอนสืบต่อกันมาเนิ่นนานแล้วว่า มนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะได้ เนื่องจากเพราะว่ามนุษย์รู้จักคิด มีจินตนาการ รู้จักประดิษฐ์คิดค้น มนุษย์สามารถสะท้อนความรู้สึกทางจิตอันเป็นนามธรรมออกมาให้เป็นรูปธรรม ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ด้วยรูปแบบต่างๆ และในขณะเดียวกันผลงานศิลปะที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมานั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงความจริงในวิถีชีวิตของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ในธรรมชาติจะมีความงามแฝงเร้นอยู่ จะมีก็เพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถค้นพบมองเห็นความงามในธรรมชาตินั้นได้ แต่ความงามที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นไม่ใช่ศิลปะ เพราะศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น สาเหตุที่มนุษย์มองเห็นความงามในธรรมชาติได้นั้นเพราะว่ามนุษย์มีการปรุงแต่งทางความคิด มีจินตนาการ รู้จักฝัน มีความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักสรรค์สร้าง การมองเห็นความงามและคุณค่าทางศิลปะเป็นปัจจัยพิเศษ มันอยู่นอกเหนือจากสัญชาตญาณขั้นพื้นฐาน สัตว์เดรัจฉานโดยทั่วไปไม่สามารถที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เลย ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงอยู่ เป็นส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทั้งสิ้น ศิลปินมีอารมณ์และความรู้สึกเป็นตัวกำหนด “ ความบันดาลใจ ” ภาพลสักหินพุทธประวัติ(ประสูติ) ศิลปะอินเดีย ภาพประกอบจากหนังสือ Fine art ฉบับ August 2005 – September 2005 ศิลปะสร้างความบันเทิง สร้างความรื่นรมย์ เป็นของส่วนรวมของมนุษยชาติ ในประวัติศาสตร์ของโลก “ สงครามครูเสด ” เป็นสงครามที่ใช้เวลานานถึงสองศตวรรษ เป็นการขัดแย้งระหว่างนิกายสองนิกาย คือนิกายโปแตสเต็นท์และนิกายคาทอลิก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่จุดมุ่งหมายของศาสนาก็เพื่อให้โลกสู่สันติสุข แต่ด้วยความคิดของมนุษย์ที่ไม่ลงรอยกัน ก็สามารถนำศาสนามาเป็นข้ออ้างแบ่งแยกหมู่เหล่าและสร้างสงครามทำลายล้างกันได้ ในโลกของศิลปะไม่เคยมีสิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าศิลปะจะมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละเชื้อชาติ ศาสนา แต่ศิลปะไม่เคยถูกหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างกันของมนุษย์ ศิลปะที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุ ศิลปะเสริมสร้างความสูงส่งทางจิตวิญญาณ ก่อให้เกิดปัญญา ศิลปะคือสิ่งเดียวที่แสดงออกถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ศิลปะทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความหวังและความสุข ศิลปะสร้างความบันเทิงและความรื่นรมย์ให้กับมนุษย์ในการดำรงอยู่ต่อสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าศิลปะนั้นจะเป็นแบบไหนหรือของชนชาติไหนก็ตาม ศิลปะเป็นของส่วนรวมสำหรับมนุษยชาติ ความเป็นศิลปินอาจจะไม่มีในตัวของช่างฝีมือ แต่การช่างฝีมือควรมีอยู่ในตัวของศิลปิน “ สัตว์จากจินตนาการจากวรรณคดี-สัตว์หิมพานต์ ” ภาพจากหนังสือศิลปะลายไทย เพื่อการออกแบบ ผลงานอาจารย์วุฒิชัย พรมมะลา ศิลปะเพื่ออะไร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ธรรมมะหรือคติความเชื่อ ศิลปะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการใช้โน้มนำความรู้สึก ก่อเกิดพลังความเลื่อมใสในการเสริมสร้างความศรัทธา ศิลปินหลายคนสร้างสรรค์ศิลปะที่สื่อเนื้อหาสาระแสดงออกถึงแนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการดำรงอยู่ของผู้คนในสังคม เรียกหาความเป็นธรรม สะท้อนการเมือง ฯลฯ ศิลปะเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้อ่าน ผู้ชม หรือผู้ฟังมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามเนื้อหาที่ศิลปินถ่ายทอดปรากฏอยู่ในผลงาน ศิลปินบางคนนำทัศนธาตุ เช่น เส้น สี น้ำหนักอ่อนแก่ พื้นที่ว่าง ฯลฯ มาแสดงออกโดยมีเป้าหมายเพียงความงามที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าผลงานศิลปะนั้นจะสะท้อนอะไรออกมา จะเป็นทางบวกหรือทางลบก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วศิลปะทำหน้าที่ ที่สำคัญยิ่ง คือยกระดับจิตใจของผู้เสพศิลป์ให้สูงส่งขึ้นเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมขึ้นในจิตใจ ช่างฝีมือ กับศิลปิน ช่างฝีมือ ( Artisan ) เป็นผู้สร้างผลิตผลงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตให้มีความสวยงาม นำไปใช้สอยและเป็นเครื่องประดับชีวิตของคน มีความรู้สึกงดงามและประทับใจน่าใช้น่าจับต้อง อันก่อประโยชน์ทั้งทางกายและทางใจให้กับเราในการดำรงชีวิตประจำวัน เสริมสร้างความรู้สึกทางด้านสุนทรียภาพ งานฝีมืออาจจะเป็นดั่งสะพานให้กับบางคนก้าวไปสู่การรับรู้ศิลปะขั้นสูงที่เรียกว่า “ ศิลปะบริสุทธิ์ ” ( Fine Art) ในลำดับต่อไปได้ ศิลปิน (Artist) เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นวิจิตรศิลป์ (จิตรกรรม , ประติมากรรม , สถาปัตยกรรม , วรรณกรรม , ดนตรีและนาฏศิลป์) มีความคิดและความรู้สึกก้าวล่วงหลุดพ้นจากความเป็นช่างฝีมือมาแล้ว เป็นผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรม อันก่อพลังแห่งความสะเทือนใจ เกิดความรู้สึกปีติซาบซึ้งขึ้นในห้วงอารมณ์ให้กับผู้ฟังหรือผู้ดูได้... ศิลปินสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นได้ ก็เนื่องมาจากได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่พบเห็น เกิดแรงสะเทือนอารมณ์ เห็นภาพนิรมิตขึ้นในความคิด และถ่ายทอดภาพความคิด ความรู้สึกนั้นออกมาด้วยความสามารถทางฝีมือให้เกิดเป็นรูปธรรม อาจจะเป็นตัวอักษร (วรรณกรรม , กวี) เป็นเสียงดนตรี เป็นภาพเขียนที่งดงาม สร้างความปีติซาบซึ้ง รวมทั้งรู้สึกสะเทือนใจ ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย คือทั้งศิลปินผู้สร้างสรรค์ และผู้อ่าน ผู้ฟัง หรือผู้ดูได้อย่างลึกซึ้ง ความเป็นศิลปินอาจจะไม่มีในตัวของช่างฝีมือ แต่การช่างฝีมือควรมีอยู่ในตัวของศิลปิน ถวัลย์ ดัชนี บอกไว้ว่า “.. หากคุณมีฝีมือช่างอย่างเดียวคุณก็เป็นได้แค่กรรมกรศิลปะ ถ้าคุณมีปัญญาอย่างเดียวไม่มีฝีมือคุณก็ไม่สามารถเอาฝีมือเชิงช่างไปอุ้มความคิดของคุณถึงเป้าหมาย เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดเจนทั้งฝีมือและความคิด.." ” ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวไว้ว่า “ .... ศิลปะอยู่ที่จิตใจของผู้สร้าง ผู้อ่าน ผู้ฟังหรือผู้ดู มากกว่าอยู่ที่ถ้อยคำ ตัวหนังสือ เสียง รูปและสี ซึ่งรวมเรียกว่า รูปธรรม... ” แม้ว่าภาพลักษณ์และผลงานสร้างสรรค์จะออกมาดีงามอย่างไร แต่หากใจไม่ไปด้วยกันก็ไร้ซึ่งความหมาย ศิลปะที่ดีต้องมีความสำคัญในเนื้อหาที่มีความหมายต่อมวลมนุษย์ชาติ มีความงามในรูปแบบที่นำเสนอ ก่อเกิดประโยชน์ทั้งทางกายและทางใจ เป็นความสมดุลระหว่างรูปธรรมกับนามธรรม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความจริงใจของศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้น ที่สุดแล้วเป้าหมายของศิลปะคือ ให้คุณค่าความดีงามอันจรรโลงจิตใจผู้ดู ผู้อ่าน หรือผู้ฟัง ศิลปะตะวันตกและศิลปะตะวันออก ปัจจุบันกระแสความคิดของโลกตะวันตกมีอิทธิพลแผ่อำนาจครอบคลุมโลกนี้ไปทั้งใบ แนวคิดแบบแบบตะวันออกอาจจะถูกละเลย กำลังถูกกระแสตะวันตกกลืนกลาย ศิลปะตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะอินเดีย , ศิลปะจีน , ศิลปะไทย ฯลฯ มักจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวคติความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนา แนวคิดของศิลปะตะวันออกจะถูกแสดงออกมาโดยไม่ยึดความเหมือนจริง เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เหนือกว่าความเป็นจริงที่สัมผัสได้ด้วยตา หรือเรียกว่า Idealistic Art เป็นการตอบสนองหลักของพุทธิปรัชญาและความรู้สึกนึกคิดของศิลปิน เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากศิลปะแบบตะวันตก ที่เริ่มต้นมาจากความเหมือนจริง เรียกว่า Realistic Art ในงานศิลปะไทยแบบประเพณีนั้น จะเห็นได้ว่าศิลปินได้ถ่ายทอดความงามออกมาเป็นแบบอุดมคตินิยม ภาพคน ภาพสัตว์ หรือภาพธรรมชาติ ในงานจิตรกรรมไทยประเพณีไม่ได้เป็นแบบเหมือนจริง เป็นการนำธรรมชาติมาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ตามคตินิยม ทางด้านสถาปัตยกรรมก็เช่นเดียวกัน ศิลปินนำแนวคิดทางพุทธศาสนา มาถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมเชิงสัญลักษณ์ขึ้นใหม่ เป็นศิลปะแบบอุดมคติ ที่ต้องใช้ปัญญาในการเข้าถึง ในขณะที่โลกตะวันตกมีรากฐานมาจากความเหมือนจริง( Realistic) เข้าถึงได้เพียงแค่การสัมผัสทางตา “ เทพประทานพร ” Acrylic on canvas 30 x 40 cm . (2550) โดย อาจารย์ฉัตรชัย ศิริพันธุ์ ความงามแบบอุดมคติไทยนั้นเป็นการสร้างสรรค์จากอุดมคติ มโนสำนึกความรู้สึกและจินตนาการที่เกินความจริงเดินทางไปสู่ความเป็นจริงของธรรมชาติ แตกต่างกับศิลปะตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ที่การสร้างสรรค์นั้นจะเดินทางจากความจริงตามธรรมชาติแล้วก้าวไปสู่ความเป็นอุดมคติ อันจะเห็นได้จากงานศิลปะในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก ที่เริ่มจากสร้างสรรค์แบบเหมือนจริง มาสู่แบบตัดทอนเหลือเพียงสาระสำคัญที่ศิลปินมองเห็น จากความเหมือนจริงก้าวมาสู่การสร้างสรรค์ศิลปะแบบอารมณ์ความรู้สึก หรือที่เรียกว่า “ นามธรรม ” (Abstract) ในโลกของศิลปะทั้งตะวันตกและตะวันออกเริ่มต้นเดินทางมาจากคนละฟากฝั่ง คล้ายว่าดูเหมือนจะเดินสวนทางกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของศิลปะคือสิ่งเดียวกัน คือให้คุณค่าความดีงามอันจรรโลงจิตใจผู้ดู ผู้อ่าน หรือผู้ฟัง.. ศิลปะและวัฒนธรรมอาจสะท้อนให้เห็นสติปัญญาของคนในชาตินั้นๆว่าเจริญหรือต่ำต้อยเพียงใด ... ภาพประกอบจากหนังสือ Fine art ฉบับที่16 August 2005 – September 2005 ศิลปินจะสร้างงานออกมาสักชิ้นนั้น เกิดจาก … เกิดแรงปะทะและสะเทือนอารมณ์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในจิตสำนึกเพียงชั่วขณะและอันก่อเกิดแรงบันดาลใจ เห็นภาพขึ้นมาในความคิด ศิลปินมีความต้องการแสดงออกมาเป็นภาพจิตขัดเกลาภาพที่เกิดขึ้น ควบคุมอารมณ์และแรงกดดันภายในให้เป็นระเบียบ คิดถึงวิธีการ กระบวนการในการนำเสนอภาพที่ได้จากจินตนาการนั้น ปรับปรุงแก้ไขหาความชัดเจน สร้างภาพให้ปรากฏเป็นรูปธรรม (ผลงานศิลปะ) เหล่านี้เป็นสภาวะทางอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอารมณ์สะเทือนใจของศิลปินที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผ่านกระบวนการคิดต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ ปรากฏภาพร่างในห้วงความคิด จินตนาการ จิตปรุงแต่งอย่างสร้างสรรค์ ต่อเติม เพิ่ม ลดทอน แก้ไข ขัดเกลา และลงมือทำ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นย้อนกลับไปกลับมาจนกระทั่งเป็นเกิดเป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์ การวาดรูปเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆใน กระบวนการของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เท่านั้น ผลงานศิลปะจะสร้างความสะเทือนอารมณ์กลับมาต่อศิลปินผู้สร้าง และผู้ดู ผู้อ่านหรือผู้ชม ผลงานศิลปะเป็นความเกี่ยวเนื่องร่วมกันและกันระหว่างศิลปินกับผลงานศิลปะที่ศิลปินสร้างขึ้น และกับบุคคลที่มาชื่นชมผลงาน ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจะต้องมีเหตุมีผลรองรับ มีความคิดรวบยอด สามารถให้คำอธิบาย ให้ความหมายของการแสดงออกของผลงานศิลปะได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการควบคุมความคิดและกระบวนการสร้างสรรค์ได้อย่างหมดจด ผลงานนั้นจึงจะเป็นผลงานศิลปะที่ทรงคุณค่า ผลงานอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ (ไม่มีข้อมูลรายละเอียดของภาพ) “ ศิลปะ ” สะท้อนให้เห็นสติปัญญา กล่าวได้ว่า " ศิลปะ ” เป็นสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นและแสดงออกด้วยภาษาอันลึกซึ้ง แยบยล ละมุนละไม เป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากความพากเพียรของมนุษย์ที่ต้องใช้ความพยายามทุ่มเทแรงกายและใจ ถ่ายทอดฝีมือและทุ่มเทความคิดอย่างอุตสาหะ สามารถกล่าวได้ว่า ศิลปะเป็นดั่งวิญญาณของชาติ เพราะศิลปะสามารถเป็นตัวชี้วัดความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมนั้น ศิลปวัฒนธรรมอาจสะท้อนให้เห็นสติปัญญาของคนในชาตินั้นๆว่าเจริญหรือต่ำต้อยเพียงใด จากพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่อง “ สามัคคีเสวก-วิศวกรรมา ” ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า .. ๏ อันชาติใดไร้ไร้ศานติสุขสงบ ต้องมัวรบราญรอน หาผ่อนไม่ ณ ชาตินั้นนรชนไม่สนใจ ในกิจศิลปะวิไลวิลาศงาม ฯ ๏ แต่ชาติใดรุ่งเรืองเมืองสงบ ว่างการรบอริพลอันล้นหลาม ย่อมจำนงศิลปา สง่างาม เพื่ออร่ามเรืองระยับประดับตา ฯ .. จากบทพระราชนิพนธ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและบทบาทของศิลปะที่เป็นตัวชี้วัดและสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ มนุษย์กับศิลปะแยกออกจากกันไม่ได้ เราได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของมนุษยชาติได้จากผลงานศิลปะที่หลงเหลือ ศาตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เขียนถึงความสำคัญของศาสตร์ทางด้านศิลปะกับสังคมไทยไว้ในสูจิบัตรการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 13 ว่า “ .... ทำอย่างไรประชาชนจึงจะสนใจความก้าวหน้าของศิลปกรรมร่วมสมัย เห็นจะไม่พ้นหน้าที่ของครูศิลปกรรม ศิลปินและผู้ทรงคุณวุฒิในศิลปกรรมแขนงต่างๆที่จะร่วมแรงร่วมความคิด ช่วยกันเผยแพร่วิชาการของตน ในด้านการศึกษาและในด้านสื่อมวลชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนเกิดความสนใจ มีความรู้ความเข้าใจและรสนิยมทางศิลปะสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อส่วนรวม แก่ศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติ... ” สิ่งที่ศาตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเขียนไว้ยังทันสมัย ดูเหมือนว่าในปัจจุบัน ผู้สนใจศิลปะในสังคมไทยยังคงจำกัดอยู่ในเฉพาะกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ สังเกตได้อย่างง่ายๆว่า เมื่อมีการเปิดแสดงนิทรรศการศิลปกรรม จะมีคนสนใจไปดูจำนวนน้อยมากๆ เมื่อเทียบจำนวนผู้สนใจศิลปะกับจำนวนประชากรทั้งประเทศแล้วก็รู้สึกว่าน่าใจหาย...หากจะมองลึกไปถึงนโยบายของรัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของศิลปวัฒนธรรมน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น ศิลปะกับชีวิตเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ศิลปะเป็นดั่งอาหารทางจิตวิญญาณ คนเราต้องรับอาหารหล่อเลี้ยงตัวตนทั้งทางกายและทางจิตใจควบคูกันไปอย่างสมดุล ชีวิตจึงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ …